วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

7 วิธีพลิกให้ชุมชนน่าอยู่


แม้ประเทศไทยจะยังไม่ผ่านช่วงที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองตึงเครียด แต่เราก็ยังสามารถสร้างสุขรอบตัวให้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกทำชุมชนรอบบ้านให้น่าอยู่ ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน ต้นไม้ตัดแต่งเป็นระเบียบ มีถังขยะเรียบร้อย คนในชุมชนรู้จักกันดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันดี มีน้ำใจ มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เข้าใจกัน และคอยช่วยเหลือกัน ซึ่งการ “เอื้อเฟื้อแบ่งปัน” นั้นเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. ทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง โดยอาจออกมาเดินเล่นยามเย็นกับลูก ๆ และใช้ช่วงเวลาดังกล่าว ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกับเพื่อนบ้าน และถ้าต้องการเพิ่มความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น อาจจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำอาหารมาทานร่วมกัน พาครอบครัวมาทำความรู้จักกัน ให้ลูก ๆ มาเล่นด้วยกัน หลังงานเลี้ยงเลิกอาจขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของแต่ละครอบครัวเอาไว้ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้สามารถติดต่อกับเพื่อนบ้านเหล่านั้นได้ทันท่วงที เหล่านี้เป็นต้น

2. ทำความสะอาดพื้นที่รอบบ้านให้โล่งเตียน มองไปทางไหนก็สบายหูสบายตา ต้นไม้รก ๆ ก็ตัดให้เรียบร้อย เก้าอี้สนามก็เช็ดให้สะอาด ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้โจรผู้ร้ายอาศัยสุมทุมพุ่มไม้เหล่านั้นเป็นที่ซ่อนกำบังตัว หากมีพื้นที่ส่วนกลางเช่น ทางเดินเท้า หรือถนน ที่มีเศษใบไม้ใบหญ้าก็อาจชวนเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงมาทำความสะอาดร่วมกัน หรือจัดอาสาสมัครแบ่งเวรกันทำก็ได้

3. เปิดไฟสว่างบริเวณหน้าบ้านในยามค่ำคืน เพราะโจรหรือนักย่องเบามักจะไม่ชอบแสงสว่างมากนัก การเปิดไฟเอาไว้ นอกจากจะช่วยให้โจรคิดหนักไม่อยากย่างกรายเข้ามาในบริเวณบ้านแล้ว ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงที่อาจต้องเดินทางกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ให้ปลอดภัยมากขึ้นด้วย แต่ก่อนจะปิดบ้านนอน คุณเองก็ต้องไม่ลืมที่จะล็อกกลอน ประตูให้แน่นหนาด้วยเช่นกันนะคะ

4. เอื้อเฟื้อเพื่อนบ้านด้วยการ “กลับบ้านด้วยกัน” หากมีเหตุต้องกลับบ้านยามค่ำคืน เช่น อาจจะงานเลิกดึก หรือไปทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวมา ไม่ผิดหากเจอเพื่อนบ้านในละแวกบ้านที่คุณสนิทคุ้นเคยกำลังเดินกลับคนเดียวแล้วคุณจะชวนเขาให้นั่งรถเข้าบ้านพร้อมกับครอบครัวของคุณ

5. ทำความรู้จักกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดูแลเขตพื้นที่ของคุณ การทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาตรวจตราความเป็นไปในย่านที่คุณพักอาศัย ตลอดจนช่วยสังเกตคนแปลกหน้าที่บังเอิญหลงหูหลงตาเข้ามาอยู่ในชุมชนเป็นอีกหนึ่งความช่วยเหลือที่คุณสามารถทำได้ เพื่อให้สังคมรอบข้างที่คุณอาศัยอยู่นั้นปลอดภัยยิ่งขึ้น

6. ร่วมมือกับเพื่อนบ้าน และทางการในการแบ่งปันความคิดเห็นต่าง ๆ ตลอดจนข้อเสนอแนะดี ๆ เพื่อให้สังคมโดยรอบปลอดภัยและสงบสุขมากขึ้น เช่น อาจจัดให้มีอาสาสมัครพ่อแม่คอยดูแลตรวจตราความปลอดภัยของชุมชน ดูแลเด็ก ๆ ไม่ให้ไปมั่วสุมสิ่งเสพติด หรืออาจจัดสถานที่กลางเอาไว้สอนเด็ก ๆ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาสนใจ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี วาดรูประบายสี

7. รักษามารยาทในการอยู่ร่วมกันในสังคม แม้จะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว แต่ก็ต้องรักษามารยาทในการอยู่ร่วมกันเช่นกัน ปัญหาเล็ก ๆ ก็อาจทำให้เพื่อนบ้านที่เคยสนิทชิดชอบกันไม่พอใจกันขึ้นมาได้ เช่น การหยิบยืมข้าวของของเพื่อนบ้านมากจนเกินความจำเป็น, การเปิดเพลงเสียงดัง, การแสดงกิริยาอาการกักขฬะ, การพูดคุยเสียงดังหรือใช้วาจาไม่สุภาพ ตลอดจนการไม่รักษามารยาทอื่น ๆ เช่น การติฉินนินทาเพื่อนบ้านคนอื่นเป็นที่สนุกปาก การหยิบยืมเงินทอง ฯลฯ

http://www.wearehappy.in.th/happy-society/howtohappysciety/

กระบวนการพัฒนาชุมชน

กระบวนการพัฒนาชุมชน


  กระบวนการพัฒนาชุมชน อาจแบ่งได้เป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาชุมชน (Community Study)
             ความหมายของการศึกษาชุมชน การศึกษาชุมชน หมายถึง การสำรวจและศึกษาวิเคราะห์หาความจริงในสภาวะของ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความต้องการ และปัญหาในชุมชนนั้น ๆ เพื่อที่จะก่อให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตของประชาชนในชุมชนต่อไป
1. ความมุ่งหมายของการศึกษาชุมชน การศึกษาชุมชนมีความมุ่งหมาย ดังต่อไปนี้
              1.1 เพื่อทราบความต้องการต่าง ๆ ของชุมชน เพื่อจะได้หาทางตอบสนองความต้องการต่อไป
              1.2 เพื่อทราบปัญหาต่าง ๆ และได้ร่วมกันคิดวางโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้หมดไป
              1.3 เพื่อทราบถึงแหล่งวิชาในชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติ วิทยากรและสถาบันต่าง ๆ ของชุมชนเพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาต่อไป
              1.4 เพื่อทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ กับชุมชน อันจะเป็นแนวทางในการปรับปรุงส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์อันดีขึ้น
              1.5 เพื่อศึกษาสภาวะทางเศรษฐสังคม (Socio - Economic) สวัสดิภาพของสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ การบริโภคและอุปโภค ซึ่งจะได้หาทางบริการจัดหาอุปกรณ์และวิธีปรับปรุงให้เหมาะสมต่อไป
              1.6 เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อ เจตคติ ขนมธรรมเนียมประเพณี การนันทนาการของประชาชนในชุมชน ซึ่งจะได้หาทางสนับสนุน ปรับปรุง ส่งเสริมให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
             
            ประเภทของการศึกษาชุมชน มี 2 ประเภทคือ
1. การศึกษาเฉพาะด้าน (Topical Community Study) เป็นการศึกษาชุมชนในด้านใดด้านหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เช่น สุขภาพอนามัย การศึกษา การเกษตร เป็นต้น
2. การศึกษาทั่ว ๆ ไป เป็นการศึกษาชุมชนอย่างกว้างขวางหรือหลาย ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน
3. หลักในการศึกษาชุมชน ควรยึดถือหลักบางประการคือ
3.1 ต้องศึกษาต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา
3.2 ใช้วิธีการหลาย ๆ วิธีและทดลองทำหลาย ๆ ครั้ง
3.3 ใช้วิธีวิทยาศาสตร์ โดยเริ่มจากการตั้งจุดมุ่งหมาย การวางโครงการการลงมือกระทำและการประเมินผลตามลำดับ
3.4 ใช้หลักฐาน วัสดุ อุปกรณ์อย่างเพียงพอ และใช้อุเบกขาในการพิจารณา
3.5 สร้างความรู้สึกและความสัมพันธ์อันดีต่อผู้ที่จะศึกษา เพราะมีโอกาสได้ข้อมูลที่แท้จริงได้มากขึ้น
4. วิธีการศึกษาชุมชน สามารถกระทำได้หลายวิธีการ ดังนี้
4.1 การสังเกต
4.2 การแจงนับจำนวนแบบสมบูรณ์
4.3 การสุ่มตัวอย่าง
4.4 การสัมภาษณ์
4.5 การใช้แบบสอบถาม
4.6 การใช้สถิติต่าง ๆ
4.7 การศึกษารายกรณี
4.8 การสำรวจ
4.9 การศึกษาจากผู้รู้และแหล่งวิชาต่าง ๆ

ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์ปัญหาชุมชน
การพัฒนาชุมชนโดยแท้จริงแล้วก็คือ การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนนั่นเอง ดังนั้นการวิเคราะห์ปัญหาชุมชน จึงเป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งที่ต้องกระทำ ซึ่งโดยทั่วไป ปัญหาชุมชนมี 4 ลักษณะคือ
1. ปัญหาเกี่ยวกับอาชีพและรายได้
2. ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
3. ปัญหาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ
4. ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาและวัฒนธรรม
ปัญหาเหล่านี้อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ปัญหาที่ชุมชนสามารถแก้ไขได้เองโดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากภายนอกชุมชน
2. ปัญหาที่ชุมชนไม่สามารถแก้ไขเองได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากภายนอกชุมชน
ประโยชน์ของการวิเคราะห์ปัญหาชุมชน มีประโยชน์หลายประการ คือ
1. เป็นแนวทางในการพิจารณาแก้ไขปัญหาแต่ละปัญหา ตามขีดความสามารถของชุมชน
2. ทำให้ทราบว่าปัญหาใดแก้ไขได้ง่าย ปัญหาใดแก้ไขได้ยากสามารถเลือกดำเนินการได้ก่อนหลังตามลำดับ
3. เป็นการเตรียมการสำหรับการแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้า ในขั้นปฏิบัติการสามารถดำเนินไปได้ด้วยด้วย
4. เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง เพราะการวิเคราะห์ปัญหาชุมชนนั้นเป็นการเชื่อมโยงปัญหาทั้งหมดเอาไว้ในทุกแง่มุม

ขั้นตอนที่ 3 การจัดลำดับความต้องการและปัญหาชุมชน
เมื่อทำการวิเคราะห์ปัญหาชุมชนเรียบร้อยแล้วก็นำปัญหาเหล่านั้นมาจัดลำดับความสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางในการลงมือแก้ไขต่อไป
1. การจัดลำดับความต้องการและปัญหาชุมชน มีหลักในการดำเนินการ ดังนี้
1.1 ปัญหาที่ชุมชนส่วนรวม ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ติดตามมา ควรเป็นปัญหาที่มีความสำคัญมาก
1.2 ปัญหาที่เมื่อแก้ไขแล้วนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ควรเป็นปัญหาที่มีความสำคัญมาก
1.3 ปัญหาที่อยู่ในขีดความสามารถของประชาชนที่จะแก้ไขได้ควรเป็นปัญหาที่มีความสำคัญมาก
2. การจัดลำดับความต้องการและปัญหาชุมชนมีประโยชน์ ดังต่อไปนี้
2.1 ทำให้ทราบว่าปัญหาใดชุมชนเดือดร้อนมากที่สุด และต้องรีบแก้ไขก่อนปัญหาอื่น ๆ
2.2 ในชุมชนจะประสบปัญหามากมายหลายปัญหาจนไม่อาจทำการแก้ไขไปพร้อม ๆ กันได้ การจัดลำดับก่อนหลังจะเป็นแนวทางในการแก้ไขได้เป็นอย่างดี
2.3 ทำให้ทราบถึงความเกี่ยวพันกันของแต่ละปัญหา ถ้านำไปแก้ไขพร้อม ๆ กันได้ก็จะไม่เสียเวลา
2.4. เป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดของชุมชนได้เป็นอย่างดี

ขั้นตอนที่ 4 การวางแผนแก้ปัญหาในลักษณะของโครงการ
              การวางแผนหรือการวางโครงการในงานพัฒนาชุมชน หมายถึงกระบวนการเกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ บริหาร และกำหนดวิถีทางสำหรับปฏิบัติงานพัฒนาชุมชน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ มีการลำดับความคิดในการดำเนินงานที่จะต้องปฏิบัติร่วมกันว่าควรจะทำอะไร เมื่อไร ใครเป็นผู้ทำ ทำที่ไหน ทำไมจึงเลือกวิธีดำเนินงานเช่นนั้น ตลอดจนการฝึกอบรมให้ประชาชนได้เข้าใจวิธีการจัดสรร มอบหมายงานให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทราบบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม ทั้งยังเป็นการคาดการณ์ว่าในอนาคตควรจะดำเนินงานอย่างไรได้อีกด้วย

1. หลักในการวางแผนโครงการในงานพัฒนาชุมชน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้
              1.1 การวางเป็นผลจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงของสภาวะทางสังคม เศรษฐกิจ ความต้องการและปัญหาของประชาชนในชุมชนนั้น ๆ
              1.2 ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของประชาชนในชุมชน โดยการดำเนินงาน ต้องเป็นไปตามลำดับความสำคัญของปัญหาในชุมชนนั้น ๆ อีกด้วย
              1.3 การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาในชุมชน ต้องพิจารณาถึงจำนวนประชาชนผู้เกี่ยวข้อง ความสนใจและต้องการของบุคคลในแต่ละครอบครัว
              1.4 ต้องมีความสอดคล้องกับค่านิยม ความเชื่อ ข้อห้ามของประชาชนในชุมชน
              1.5. ต้องเริ่มจากสิ่งที่ประชาชนมีอยู่และสิ่งที่ประชาชนรู้อยู่แล้ว
              1.6 วัตถุประสงค์ต้องสอดคล้องกับความสนใจ ความพึงพอใจของประชาชนในชุมชน
              1.7 ต้องมีแผนการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบแบบแผน
              1.8 ต้องเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี
              1.9 ต้องอาศัยความร่วมมือประสานงานในการปฏิบัติร่วมกับองค์กรต่าง ๆ และผู้นำในชุมชน
              1.10 ต้องบ่งชี้ให้เห็นถึงแนวทางในการประเมินผลได้เป็นอย่างดี

2. ขั้นตอนของการวางแผนโครงการในงานพัฒนาชุมชน
กรมการพัฒนาชุมชน ได้กำหนดขั้นตอนของการวางแผนโครงการเอาไว้ 5 ขั้นตอนดังนี้
              2.1 การแสวงหาข้อเท็จจริง
              2.2 การเผยแพร่ความคิดต่อบุคคลอื่น ๆ ในชุมชนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุน
              2.3 การจัดทำแผนและโครงการตามความเหมาะสม โดยทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน
              2.4 การลงมือปฏิบัติงานตามแผนและโครงการที่กำหนดไว้อย่างเป็นระบบ
              2.5 การติดตามและประเมินผล
3. ลักษณะของแผนงานและโครงการที่ดี ดังต่อไปนี้
              3.1 เป็นแผนและโครงการที่เป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ตามสถานการณ์ที่มีอยู่
              3.2 ได้คัดเลือกปัญหาความต้องการของประชาชนในชุมชน
              3.3 มีวัตถุประสงค์ และวิธีดำเนินงานอันเป็นที่พึงพอใจของประชาชนในชุมชน
              3.4 มีลักษณะถาวรแต่ยืดหยุ่นได้
              3.5 ต้องมีดุลแห่งความต้องการ
              3.6 มีแผนปฏิบัติงานในรายละเอียด
              3.7 มีลักษณะเป็นกระบวนการต่อเนื่อง
              3.8 มีลักษณะเป็นการให้การศึกษาแก่ประชาชนในชุมชน
              3.9 มีลักษณะกระบวนการประสานงาน
              3.10 ต้องกำหนดการประเมินผลการปฏิบัติไว้

ขั้นตอนที่ 5 การพิจารณาวิธีดำเนินงาน

              ในการดำเนินงานพัฒนาชุมชนนั้นมีวิธีดำเนินงานอยู่ในรูปของแผนและโครงการนักพัฒนาชุมชน จะต้องพิจารณาแผนและโครงการใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ

1. การวิเคราะห์องค์ประกอบของโครงการ
โครงการที่จะใช้ดำเนินงานพัฒนาชุมชน ควรมีองค์ประกอบดังนี้
1.1 วัตถุประสงค์
1.2 วิธีการหรือกิจกรรมที่ใช้
1.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ
1.4 เป้าหมาย
1.5 ระยะเวลาในการดำเนินงาน
1.6 ปัจจัยที่นำมาใช้ดำเนินงาน
2. การวิเคราะห์โครงการ
ในการวิเคราะห์โครงการพัฒนาชุมชน ควรทำการวิเคราะห์ในเรื่องต่อไปนี้
2.1 ความสอดคล้องสมบูรณ์ทางโครงการ
2.2 ความเป็นไปได้ของโครงการ
2.3 ความเหมาะสมและประโยชน์ของโครงการ
3. การวิเคราะห์แผนปฏิบัติงานประกอบโครงการ
เมื่อนักพัฒนาชุมชนตกลงใจจะดำเนินงานตามโครงการใด ๆ แล้ว ในขั้นตอนสุดท้ายจะต้องวิเคราะห์พิจารณารายละเอียดของแผนปฏิบัติงาน ประกอบโครงการอีกด้วย เพราะแผนปฏิบัติงานจะแสดงถึงข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณาได้เป็นอย่างดี ในแผนปฏิบัติงานจะต้องแสดงข้อมูลหรือสาระสำคัญต่อไปนี้
3.1 ชื่อโครงการ
3.2 หลักการและเหตุผลของโครงการ
3.3 วัตถุประสงค์
3.4 เป้าหมาย หรือผลที่คาดว่าจะได้รับ
3.5 ผู้รับผิดชอบโครงการ
3.6 ทรัพยากรที่ใช้
3.7 วิธีดำเนินการ
3.8 หน่วยงานรับช่วงดูแลในอนาคต
3.9 วิธีประเมินผล
ในขั้นตอนการพิจารณาวิธีดำเนินงานพัฒนาชุมชนนี้ เมื่อพิจารณาวิเคราะห์และตรวจสอบแล้ว พบว่ายังมีข้อบกพร่องปรากฏอยู่ นักพัฒนาชุมชนจะต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องและเหมาะสมเสียก่อนแล้ว จึงดำเนินการตามโครงการต่อไป

ขั้นตอนที่ 6 การดำเนินงานพัฒนาชุมชน

              ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ลงมือกระทำการพัฒนาชุมชนในภาคปฏิบัติการ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักพัฒนาชุมชนจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบให้มากที่สุด ส่วนนักพัฒนาชุมชนต้องทำหน้าที่เป็นผู้ให้การสนับสนุน และมีภารกิจที่สำคัญอีก 2 ประการคือ
1. การบริหารโครงการให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
1.1 จัดให้มีการอำนวยการสั่งการ และแบ่งงานให้เป็นสัดส่วน
1.2 แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจต่อกันอย่างชัดเจน
1.3 กำหนดวิธีการประสานงาน
1.4 กำหนดวิธีการตรวจสอบและควบคุมงาน
1.5 ตรวจสอบและประเมินผลงานเป็นระยะ ๆ เพื่อการปรับปรุงส่วนที่ไม่เป็นไปตามแผนและโครงการ
2. การควบคุมและติดตามผลการดำเนินงาน
ในการดำเนินงานพัฒนาชุมชนนั้น นอกจากการจัดให้มีการบริหารโครงการแล้ว ยังต้องมีการควบคุมและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนโครงการอีกด้วย การดำเนินงานจึงจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย  ความมุ่งหมายของการควบคุมและติดตามโครงการการควบคุมและติดตามโครงการมีความมุ่งหมายดังนี้
1. เพื่อตรวจสอบวิธีปฏิบัติงานว่าถูกต้องเหมาะสมเพียงไร
2. เพื่อบำรุงขวัญหรือการจูงใจผู้ปฏิบัติงาน
3. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการปฏิบัติงานของผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
4. เพื่อปรับปรุงแก้ไขโครงการให้สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์
5. เพื่อสรุปและรายงานผลการดำเนินงาน
ประเภทของการควบคุมและติดตามโครงการ
การควบคุมและติดตามโครงการ มีหลายประเภทคือ
1. การควบคุมและติดตามผลทางปริมาณ
2. การควบคุมและติดตามผลทางคุณภาพ
3. การควบคุมและติดตามผลทางด้านเวลา
4. การควบคุมและติดตามผลทางงบประมาณ
5. การควบคุมและติดตามผลทางวิชาการ
6. การควบคุมและติดตามผลทางความคุ้มค่าของโครงการ
นักพัฒนาชุมชนหรือผู้มีหน้าที่ในการควบคุมและติดตามโครงการ จึงต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในหลักการดำเนินงานพัฒนาชุมชน การบริหารงาน การควบคุมและติดตามโครงการเป็นอย่างดี จึงจะสามารถดำเนินงานในขั้นตอนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ขั้นตอนที่ 7 การประเมินผลงาน
1. ความหมายของการประเมินผลงาน
การประเมินผลงานเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการควบคุมการปฏิบัติงานของหน่วยงาน ให้สามารถดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่วางไว้ หรือเป็นวิธีการสำหรับตัดสินว่ากิจการดำเนินไปด้วยความเจริญก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด และจะต้องดำเนินการต่อไปอีกมากน้อยเท่าไร จึงจะประสบผลสำเร็จ ดังนั้นการประเมินผลจึงเปรียบเสมือนกระจกเงาที่ส่องให้ผู้ปฏิบัติงานได้มองเห็นถึงจุดเด่นและจุดด้อยของการดำเนินงานในทุก ๆ ขั้นตอนของโครงการ และยังสามารถใช้ในการคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกทางหนึ่งด้วย
2. ประโยชน์ของการประเมินผลงาน
การประเมินผลงานมีประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนหลายประการดังนี้
1. แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของโครงการ
2. ทำให้ทราบถึงทิศทางของการดำเนินงานว่าเป็นไปตามความต้องการหรือไม่
3. เป็นเครื่องชี้ประสิทธิภาพของโครงการ
4. บอกให้ทราบถึงจุดเด่นและจุดด้อยของโครงการ
5. ช่วยในการเสริมสร้างทักษะในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
6. ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของกิจกรรมต่าง ๆ
7. สร้างความมั่นใจในการดำเนินงาน
8. เป็นแนวทางที่จะได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากแหล่งต่าง ๆ
9. เป็นพื้นฐานสำหรับการวางโครงการและปฏิบัติการในโอกาสต่อไป

ขั้นตอนที่ 8 บทบาทของนักพัฒนาในการพัฒนาชุมชน

              เนื่องจากเป้าหมายและกระบวนการพัฒนาชุมชนนั้นมีขอบเขตของการพัฒนาที่กว้างขวางมาก นักพัฒนาชุมชนจึงต้องมีบทบาทหรือภาระหน้าที่หลายประการ แต่ที่เป็นภาระหน้าที่พื้นฐานควรมีอย่างน้อย 5 ประการคือ
1. เป็นผู้ให้การศึกษาแก่ชุมชน (Educator) โดยการแนะนำความรู้ ความคิดใหม่ ๆ สู่ชุมชนสนับสนุนและส่งเสริมบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ โดยการพูดคุย การประชุม และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
2. เป็นผู้จัดรวมกลุ่ม (Organizer) เพื่อให้สมาชิกชุมชนทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน แก้ไขปัญหาร่วมกัน และสร้างอำนาจต่อรอง
3. เป็นผู้ประสานงาน (Co – ordinator) ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ทั้งของรัฐ เอกชนและประชาชน เพื่อระดมทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทั้งนี้เพราะนักพัฒนาชุมชนไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถแก้ไขปัญหาในชุมชนได้ทุกเรื่อง ต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น หรือหน่วยงานอื่น ๆ จึงกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า นักพัฒนาชุมชนทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมประสานงานในทุกขั้นตอนของการพัฒนาชุมชน
4. เป็นผู้ร่วมปฏิบัติ (Catalystor) โดยต้องมีส่วนร่วมปฏิบัติงานกับประชาชนทั้งในการวางแผน การจัดรวมกลุ่ม และการปฏิบัติงานตามโครงการต่าง ๆ
5. เป็นผู้ส่งเสริมและเผยแพร่ (Extension Worker) คือต้องทำหน้าที่ในการฝึกอบรม การสาธิต และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนยอมรับการดำเนินงานโครงการพัฒนาชุมชนต่าง ๆ
คุณสมบัติของนักพัฒนาชุมชน

              นักพัฒนาชุมชน เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาชุมชน นักพัฒนาชุมชนที่ดี จึงควรมีลักษณะดังนี้
1. มีอุดมคติ มีแรงจูงใจที่ต้องการทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
2. ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในชุมชนได้ดี
3. มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี4. มีความคิดริเริ่ม มีไหวพริบดี
5. มีบุคลิกภาพที่จะเป็นหัวหน้าหรือผู้นำ
6. มีความรู้เกี่ยวกับสภาพปัญหาของชุมชน
7. มีความประพฤติดี ขยันขันแข็ง กระตือรือร้นมีระเบียบวินัยเป็นแบบอย่างให้ชาวบ้านยอมรับนับถือหรือเลื่อมใส
8. มีลักษณะเป็นคนที่พัฒนาแล้วมากกว่าประชาชนที่จะไปพัฒนา
9. มีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจคนให้เห็นคล้อยตาม
10. มีความรอบรู้รอบด้านเพราะต้องเกี่ยวข้องกับปัญหาของประชาชนเกือบทุกด้าน
11. มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ประชาชนเป็นอย่างดี
12. ต้องล่วงรู้จิตใจของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทุก ๆ ฝ่ายอย่างถ่องแท้
สิ่งที่พึงยึดถือและปฏิบัติของนักพัฒนาชุมชน

              นักพัฒนาชุมชนควรยึดถือสิ่งต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานพัฒนาชุมชน ดังนี้
1. ละทิ้งนิสัยและความรู้สึกต่าง ๆ ที่คิดว่าตนเป็นผู้ปกครอง ผู้คุ้มครอง หรือผู้เหนือกว่าประชาชนด้วยประการทั้งปวง
2. ต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมในหมู่บ้านที่ตนเข้าไปทำงาน
3. พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาทำกัน
4. เลือกดำเนินงานที่ได้ริเริ่มด้วยความระมัดระวังยิ่ง ในการที่จะเริ่มดำเนินงานใหม่นั้น ควรเลือกเอาท้องถิ่นที่กำลังก้าวหน้า และมีราษฎรที่ประกอบด้วยจิตใจดี มีลักษณะก้าวหน้า เศรษฐกิจมั่นคง นิสัยของชาวบ้านไม่จับจด ทั้งจะต้องมีความขัดแย้งในด้านความคิดเห็นทางการเมืองเพียงเล็กน้อย
5. เริ่มดำเนินงานกับชาวบ้านในระดับที่จะได้สำเร็จก่อน
6. เลือกดำเนินกิจกรรมที่ชาวบ้านสนใจอยู่แล้ว
7. อย่าหวังผลให้มากเกินไป เริ่มต้นด้วยโครงการง่าย ๆ และสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น
8. ทำให้ชาวบ้านศรัทธาว่าตนสามารถจะปรับปรุงสถานการณ์ของชาวบ้านได้
9. นำเอาความเป็นอยู่ นิสัยใจคอตามธรรมชาติของประชาชนนั้นเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด
10. มีความพอใจที่จะเริ่มต้นด้วยงานเล็ก ๆ ก่อน

http://www3.cdd.go.th/plaiphraya/process.htm

วีดีโอ เคล็ดลับชุมชนน่าอยู่




http://www.youtube.com/watch?v=f7jvMC7v8eA
แนวทางการดำเนินงานภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์ “พัฒนาชุมชนน่าอยู่ เมืองน่าอยู่” ปีงบประมาณ 2552    ศูนย์อนามัยที่ 7
                  
สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของการมีสุขภาพดี   กระทรวงสาธารณสุขจึงให้ความสำคัญกับการจัดการสภาพแวดล้อมให้สะอาด ปลอดภัย เริ่มจากหน่วยเล็กที่สุดคือบ้านและขยายเป็นชุมชนและสังคมโดยรวม  เพื่อให้เมืองไทยเป็นเมืองน่าอยู่  ผู้คนสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ  โดยใช้แนวทางการสร้างพลังความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะเทศบาล  การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนให้เกิดจิตสำนึกสาธารณะร่วมรับผิดชอบ การแก้ไขปัญหาและพัฒนาท้องถิ่นของตน และการใช้กฎหมายสาธารณสุขเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนและสร้างความเป็นระเบียบในสังคม
กรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสุข  เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้นำแนวคิดเมืองน่าอยู่(Healthy City) ขององค์การอนามัยโลก  มาใช้พัฒนาเขตเมืองในปี 2537  โดยได้ร่วมดำเนินการกับกรุงเทพมหานคร  ปี 2539 ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก ดำเนินงานโครงการเมืองน่าอยู่ขยายผลใน 5 พื้นที่นำร่อง      ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง  โดยเฉพาะกิจกรรมการขยายแนวคิดเมืองน่าอยู่สู่วงกว้าง  เกิดรูปธรรมในการรักษาความสะอาด  จัดการสิ่งแวดล้อม  เช่น  ขยะ  น้ำเสีย  เมืองน่าอยู่  จึงเป็นการวางพื้นฐานแนวคิดเรื่องการสุขภาวะและวิธีการทำงานร่วมกันในลักษณะเป็นภาคีระหว่างภาครัฐ  ประชาชน และเอกชน
การดำเนินงานดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่ (Approach) ประชาชนที่มีสุขภาพดี (Good Health) ตามกลุ่มอายุ   และการจัดการสภาวะแวดล้อมของชุมชนให้น่าอยู่  ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย (Healthy Setting)  ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย(Healthy Family)  โรงเรียน(Healthy School)  โรงพยาบาล(Healthy Hospital)  สถานที่ทำงาน(Healthy Workplace)  และชุมชน(Healthy Cities)  ด้วยการสนับสนุนร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ  ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำโครงการส่งเสริมสภาพแวดล้อมในสถานที่ดังกล่าว       โดยอาศัยข้อกำหนดของท้องถิ่น  และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข  ตลอดจนแนวทางการดำเนินงาน  “เมืองน่าอยู่”  เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย
ในปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทและเป็นกลไกที่สำคัญต่อการดำเนินงาน ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม  ทั้งในอำนาจหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ดังนั้นการส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีศักยภาพและขีดความสามารถเพียงพอ         กลไกดังกล่าวจะเป็นแนวทางที่สำคัญในการสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จากการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ในปี 2551  ซึ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นตามสภาพปัญหาและความพร้อมของท้องถิ่น ได้สร้างความเข้าใจให้กับทั้งผู้บริหารท้องถิ่นและผู้ที่เกี่ยวข้องถึงบทบาทหน้าที่ของกรมอนามัยต่อการดำเนินงานในท้องถิ่น  อีกทั้งในรอบปีงบประมาณ 2551  ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่ร่วมมือกันในการสนับสนุนการดำเนินงานของท้องถิ่น อาทิ ความร่วมมือกับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่ปรากฏเป็นรูปธรรมในหลายเรื่อง อาทิการสนับสนุนการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้เป็นศูนย์เด็กเล็กน่าอยู่  ความร่วมมือในการส่งเสริมความปลอดภัยด้านอาหาร การสนับสนุนการพัฒนาส้วมสาธารณะ เป็นต้น  ความร่วมมือดังกล่าวส่งผลต่อการดำเนินงานของท้องถิ่นเป็นอย่างมาก  ในปีงบประมาณ 2552 กรมอนามัยจะได้ยึดแนวทางที่ได้ดำเนินการมาแล้วในปีงบประมาณ 2551 นั่นคือการสนับสนุนการศักยภาพของท้องถิ่นในการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับ องค์การบริหารส่วนตำบล และได้กำหนดความสำเร็จของกรมอนามัย ในการสนับสนุนให้ท้องถิ่นระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล สามารถดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมได้ เป็นเป้าหมายความสำเร็จของกรมอนามัย
         
 วิสัยทัศน์     
       “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับสามารถดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมตามบทบาทหน้าที่  และบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข และสามารถพัฒนาและแก้ปัญหาด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิผล”
   
 วัตถุประสงค์
   
              เพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งระดับเทศบาล  องค์การบริหารส่วนตำบล  สามารถพัฒนางานด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมพื้นฐานในท้องถิ่นของตนเอง  โดยใช้กลยุทธ์ เมืองน่าอยู่เป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน
ปัญหาพื้นฐานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม  ได้แก่
-          การดำเนินงานด้านความปลอดภัยอาหารและน้ำ
-          การจัดการของเสียชุมชนที่มีประสิทธิภาพ
-          การใช้มาตรการด้านกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535
    
    เป้าหมายการดำเนินงาน ปีงบประมาณ 2552
    
 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านเกณฑ์กระบวนการเมืองน่าอยู่
1.    ระดับเทศบาล  ร้อยละ 78
2.    ระดับองค์การบริหารส่วนตำบล  ร้อยละ 10

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสัมฤทธิผลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม  ระดับที่ 1
1.    ระดับเทศบาล  ร้อยละ 40
2.    ระดับองค์การบริหารส่วนตำบล  ร้อยละ 5

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสัมฤทธิผลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ระดับที่ 2   (ผ่านเกณฑ์ความสำเร็จ 4 เรื่อง)
1.   ระดับเทศบาล  ร้อยละ 10
2. ระกับองค์การบริหารส่วนตำบล (ไม่มีเป้าหมาย)

การวัดสัมฤทธิผลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม  ด้วยท้องถิ่นได้รับผลจากนโยบายการกระจาย-อำนาจและเป็นผู้ใกล้ชิดกับปัญหาของชุมชน  มีหน้าที่โดยตรงในการตอบสนองและแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม  ซึ่งท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญ  ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข  พ.ศ.2535  ประกอบกับการดำเนินงานที่ผ่านมา  กรมอนามัยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถของท้องถิ่นในด้านต่างๆ  จะเห็นได้จากผลสำเร็จที่ท้องถิ่นได้ดำเนินงานมาโดยลำดับ  ดังนั้นเพื่อให้แนวคิดการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาพื้นฐานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเห็นชัดอย่างเป็นรูปธรรม  และเห็นความสำเร็จในแต่ละท้องถิ่น  จึงได้กำหนดประเด็นสำคัญของปัญหาด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมพื้นฐาน 3 ประเด็น  ได้แก่
1.      ความปลอดภัยด้านอาหารและน้ำ  โดยมีเป้าประสงค์ที่จะให้สถานที่จำหน่ายอาหารได้มาตรฐาน  ได้แก่
1.1  การพัฒนาตลาดสดประเภทที่ 1 ให้ได้มาตรฐานตลาดสดน่าซื้อ
1.2  การพัฒนาร้านจำหน่ายอาหารและแผงลอยจำหน่ายอาหารให้ได้มาตรฐาน
1.3  ชุมชนมีระบบประปาที่ได้มาตรฐานประปาดื่มได้
2.   การจัดการของเสียชุมชน  โดยมีเป้าประสงค์ที่จะให้ท้องถิ่นมีการจัดการมูลฝอยทั่วไป  มูลฝอยติดเชื้อและการจัดการสิ่งปฏิกูลที่ได้มาตรฐาน  ได้แก่
2.1  การมีระบบการจัดการมูลฝอยของท้องถิ่นให้ได้มาตรฐาน
2.2  การมีส้วมสาธารณะให้ได้มาตรฐาน
2.3  การมีระบบการกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ได้มาตรฐาน
3.   การใช้มาตรการด้านกฎหมาย  ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข  พ.ศ.2535          โดยมีเป้าประสงค์ให้ท้องถิ่นดำเนินการตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งในแง่การออกข้อบังคับและการนำไปปฏิบัติ  ได้แก่
3.1  การส่งเสริมการออกเทศบัญญัติ / ข้อบัญญัติท้องถิ่น 
3.2  การดำเนินการด้านเหตุรำคาญ
ทั้ง 3 ประเด็น  8 เรื่องย่อยดังกล่าวเป็นปัญหาที่ดำรงอยู่ในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่และ  เป็นนโยบายสำคัญในระดับประเทศที่ต้องการเห็นผลสำเร็จ  และในแต่ละท้องถิ่นมองเห็นและตอบสนองกับปัญหาดังกล่าวแตกต่างกัน  ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับความพร้อมและการกำหนดนโยบายแต่ละท้องถิ่นในปัญหาพื้นฐานดังกล่าว  จึงได้กำหนดการวัดสัมฤทธิผล ทั้ง 8 เรื่อง โดยจัดระดับของท้องถิ่นที่มีผลสัมฤทธิ์อย่างน้อย 2 เรื่อง ใน 8 เรื่องดังกล่าว  เป็นระดับที่ 1 หากมีความสำเร็จ 4 เรื่อง จัดให้เป็นลำดับที่ 2  หากดำเนินการได้ 6 เรื่องเป็นระดับที่ 3  และดำเนินการได้ครบทุกเรื่องจะนับเป็นระดับที่ 4  ซึ่งการดำเนินการขึ้นอยู่กับความพร้อมและปัญหาของท้องถิ่นเป็นสำคัญ
 อนึ่งเพื่อให้เกิดชุมชนน่าอยู่ เมืองน่าอยู่ครอบคลุมทุก Setting มากยิ่งขึ้น ศูนย์อนามัยที่ 7 จึงได้กำหนดสัมฤทธิผลเพิ่มเติมอีก 1 ประเด็น 3 เรื่องได้แก่ เกณฑ์การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี
3.1 ศูนย์เด็กเล็กผ่านเกณฑ์ศูนย์เด็กน่าอยู่ระดับดีและดีมากร้อยละ 65
3.2 เทศบาล/อบต.ผ่านเกณฑ์สถานที่ทำงานน่าอยู่น่าทำงานระดับดีมาก
 3.3 สวนสาธารณะผ่านเกณฑ์สวนสาธารณะน่ารื่นรมย์อย่างน้อย 1 แห่ง
                  โดยหากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดสามารถดำเนินการผ่านสัมฤทธิผลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมทั้ง 8 เรื่อง และผ่านเกณฑ์การจัดการสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี ทั้ง 3 เรื่องจะได้รับการประกาศให้เป็น ชุมชนน่าอยู่ เมืองน่าอยู่ ระดับทอง
                 แผนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พัฒนาชุมชนน่าอยู่เมืองน่าอยู่
ศูนย์อนามัยที่ 7  ปี 2552

                 จากผลการดำเนินงานปี 2551 ที่ผ่านมา การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชุมชนน่าอยู่เมืองน่าอยู่ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากภาคีเครือข่ายทั้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล ทำให้เทศบาลผ่านเกณฑ์กระบวนการร้อยละ 84.61  และอบต.ร้อยละ 10.26 และเทศบาลมีสัมฤทธิผลระดับ 1 ร้อยละ 69.23  อบต.มีสัมฤทธิผลระดับ 1 ร้อยละ 2.03 ดังนั้นเพื่อการขับเคลื่อนดำเนินการอย่างต่อเนื่อง งานอนามัยสิ่งแวดล้อม ศูนย์อนามัยที่ 7 อุบลราชธานี จึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการในปี 2552 ดังนี้

งาน/โครงการหลัก
   
1. การเสริมสร้างภาคีเครือข่ายและศักยภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
                   - ประชุมสัมมนาผู้บริหารท้องถิ่น
                   - ประกวดผลงานองค์การบริหารส่วนตำบลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
                   - ประชุมวิชาการท้องถิ่นน่าอยู่ระดับภาค
                   - ส่งเสริมการจัดตั้งเครือข่ายท้องถิ่นน่าอยู่
                   - พัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น
                   - สร้างศักยภาพและความเข้มแข็งของภาคประชาชน
2. การจัดการของเสียชุมชน
2.1 การพัฒนาส้วมสาธารณะไทย
     - รณรงค์ล้างส้วมพร้อมกันวันสงกรานต์
     - ประกวดสุดยอดส้วมปี 2552
    -  การประเมินสถานการณ์ส้วมสาธารณะ
2.2  การพัฒนาการจัดการสิ่งปฏิกูล
       - ศึกษาวิจัยรูปแบบการจัดการสิ่งปฏิกูลที่เหมาะสมในพื้นที่ อปท.ขนาดเล็ก
2.3  การจัดการมูลฝอยติดเชื้อ
2.4  การจัดการมูลฝอยทั่วไป
       - ส่งเสริมการจัดการมูลฝอยตั้งแต่แหล่งกำเนิด ใน อบต.โดยเทคนิค 3Rs
3.  การดำเนินงานกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
3.1 การจัดการเหตุรำคาญและกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
       - จัดตั้งหน่วยปฏิบัติงานเพื่อการจัดการเหตุรำคาญของศูนย์อนามัย
        - การพัฒนาทีม การจัดการเหตุรำคาญ
        - ศึกษาระบบการจัดการเหตุรำคาญ
       - การจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานแต่งผมเสริมสวย สถานที่พักแรม
        - การส่งเสริมให้ท้องถิ่นรับรองมาตรฐานโดยท้องถิ่น ภายใต้มาตรฐานกรมอนามัย    
4. การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมสถานที่และสถานบริการสาธารณะ
          4.1 ศูนย์เด็กเล็กน่าอยู่
                     - การประกวดศูนย์เด็กเล็กน่าอยู่ระดับประเทศ
                       - การตรวจประเมินรับรองมาตรฐานศูนย์เด็กเล็กน่าอยู่
                       - พัฒนาฐานข้อมูลศูนย์เด็กเล็ก
                       - ส่งเสริมให้ท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการและพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก
          4.1 โรงพยาบาล “การสุขาภิบาลและความปลอดภัยในโรงพยาบาล”
                 - พัฒนาโรงพยาบาลต้นแบบด้านสุขาภิบาลและความปลอดภัย
          4.2  แหล่งท่องเที่ยว
                      - ตรวจประเมินรับรองอุทยานแห่งชาติ
          4.3 สนับสนุนการดำเนินงานวัด/โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ
                      - พัฒนาต้นแบบ “อนามัยสิ่งแวดล้อมในวัด”
          4.4 การสุขาภิบาลในบ้านเรือน (Housing Sanitation)
5. การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมจากมลพิษและปัญหาอุบัติใหม่
          - ศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากปัญหาการใช้สารเคมีในครัวเรือน
6. การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมกรณีสาธารณภัยและพื้นที่พิเศษ
          - จัดตั้งหน่วยปฏิบัติงานเฉพาะกิจด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
          -  การฝึกอบรมอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่
7. ความปลอดภัยด้านอาหารและน้ำ
          7.1 ร้านอาหาร/แผงลอยได้มาตรฐาน อาหารสะอาดรสชาติอร่อย(Clean Food Good Test )
          7.2 ตลาดสดน่าซื้อ
          7.3 ระบบประปาผ่านเกณฑ์น้ำประปาดื่มได้
               - พัฒนาระบบฐานข้อมูลเฝ้าระวังด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำ
      
 2. ยุทธศาสตร์ประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ
            วัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนให้ ชุมชน ภาคีเครือข่าย เกิดความตระหนักและนำผลการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพไปสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและมาตรการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของประชาชน

       งาน/โครงการหลัก
1.      สร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อดำเนินงาน HIA
2.      สร้างระบบเฝ้าระวังด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมชุมชน
    
      งานอนามัยสิ่งแวดล้อม ศูนย์อนามัยที่ 7
    
              ตามที่ศูนย์อนามัยที่ 7 อุบลราชธานี ได้แบ่งโครงสร้างการบริหารงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจขององค์กร จึงได้กำหนดให้มีงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อรับผิดชอบงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและยุทธศาสตร์ของกรมอนามัย โดยมีนักวิชาการที่ปฏิบัติงานที่งานอนามัยท้องถิ่นจำนวน 9 คน เนื่องจากมีภาระงานจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อให้งานสามารถดำเนินงานได้ตามวัตถุประสงค์ของยุทธศาสตร์พัฒนาชุมชนน่าอยู่เมืองน่าอยู่และการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำงานเป็นทีม พร้อมทั้งเข้าใจบริบทของภาคีจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล งานอนามัยท้องถิ่นจึงได้แบ่งหน้าที่รับผิดชอบของนักวิชาการในปี 2552 ดังนี้

หัวหน้างานอนามัยสิ่งแวดล้อม
      นางไฉไล ช่างดำ                       ตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุข ระดับชำนาญการพิเศษ
1. ชุมชนน่าอยู่เมืองน่าอยู่
      1.1. ชุมชนน่าอยู่เมืองน่าอยู่
            นางไฉไล ช่างดำ                           ตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุข ระดับชำนาญการพิเศษ
             นางจุรีภรณ์ คูณแก้ว           ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพ ระดับปฏิบัติการ
      1.2. การจัดการของเสียชุมชน
             นางจุรีภรณ์ คูณแก้ว           ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพ ระดับปฏิบัติการ
             นางสาวเทียมดาว ทองโกฏิ    ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพ ระดับชำนาญการ
      1.3 สถานที่และสถานบริการสาธารณะ
            นางสาวเยาวธิดา วันสิงห์สู่      ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพ ระดับปฏิบัติการ
            นางวรุณสิริ ปทุมวัน             ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพ ระดับปฏิบัติการ
       1.4 งานพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมกรณีสาธารณภัยและพื้นที่พิเศษและอุบัติใหม่
               นางวรุณสิริ ปทุมวัน          ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพ ระดับปฏิบัติการ                                   นายบุญเกิด เชื้อธรรม    ตำแหน่ง พยาบาลวิชาชีพ ระดับปฏิบัติการ





  http://hpc7.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=370&filename=index